โตโยต้า ซูปร้า 86 -90 ลองเอาไปซ่อมกันอีกซักรุ่นแล้วกันครับ ท่าน
Downloadpass : pdftown.com
Tuesday, May 25, 2010
Toyota 4Runner Service Manual ปี1990-1995
เอามาแจกอีกเป็นเซอร์วิสแมนนวล ของโตโยต้า 4รันเนอร์ ปี90-95 ช่างยนต์ทั้งหลายลองเอาไปศึกษาได้เลยครับ
Download pass : pdftown.com
Download pass : pdftown.com
Saturday, May 22, 2010
2004 Toyota Corolla Service Manual
BMW E31 1994 Service Manual
กลับมาอีกแล้วครับสำหรับ Auto Car Service Manual วันนี้ ลองเอา เซอร์วิสแมนนวลของ BMW ปี 94 ไปศึกษากันดูละกันครับส่วน เซอร์วิส แมนนวล รถยี่ห้ออื่นๆเดี๋ยวค่อยๆตามมาละกันครับ
Download extract with password : pdftown.com
Download extract with password : pdftown.com
Tuesday, May 11, 2010
9 เคล็ดลับการดับไฟรถ
เคล็ดลับที่ 1
โดยปกติแล้วเพลิงไหม้จะเริ่มต้นจาก 3 จุดของตัวรถคือ
1. ห้องเครื่อง สาเหตุเนื่องจากการรั่วของน้ำมันเชื้อเพลิงหรืดน้ำมันหล่อลื่น
2. ใต้แผงหน้าปัด สาเหตุเนื่องจากการลัดวงจรของระบบไฟฟ้า
3. ที่เบาะหลัง สาเหตุเนื่องจากการทิ้งก้นบุหรี่ออกไปนอกรถแต่กลับปลิวไปตกที่บริเวณเบาะหลังโดยไม่รู้ตัว
เคล็ดลับที่ 2
โดยทั่วไปจะมีถังดับเพลิงอยู่หลากหลายชนิดด้วยกัน แต่ที่ท่านควรจะมีติดรถไว้ก็คือ
ถังดับเพลิงชนิด ABC ซึ่งสามารถใช้งานได้หลากหลายอเนกประสงค์กล่าวคือ
ชนิด A มีคุณสมบัติในการดับเพลิงที่เกิดจากเชื้อเพลิงทั่วไปเช่น ไม้ กระดาษ
หรือเครื่องเบาะของรถ
ชนิด B มีคุณสมบัติในการดับเพลิงที่เกิดจากของเหลวไวไฟเช่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเชื้อเพลิง
ชนิด C มคุณสมบัติในการดับเพลิงที่เกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร
ข้อเสียของถังดับเพลิงชนิด ABC ก็คือผงแป้งละเอียดที่ตกค้างหลังจากการใช้งาน
จะกัดกร่อนจุดเชื่อมต่อต่างๆของระบบไฟฟ้าและทำความเสียหายกับสมองกลหรือ
ระบบเกียร์อิเลคทรอนิค ดังนั้นท่านต้องทำความสะอาดอย่างทั่วถึงหลังการใช้งาน
ในการดับไฟนั้น ให้ท่านฉีดผงเคมีไปยังฐาน(ต้นกำเนิด)ของเพลิงที่กำลังลุกไหม้อยู่นั้น
และกวาดหัวฉีดกลับไปมาอย่างสม่ำเสมอจนกระทั่งไฟดับลง
อย่าพ่นสารเคมีไปยังเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้อยู่ในอากาศ เพราะนั่นนอกจากจะดับไฟไม่ได้แล้ว
ก็ยังทำให้สิ้นเปลืองส่วนประกอบอันมีค่าของเครื่องคับเพลิงไปโดยเปล่าประโยชน์
ถ้าหากเกิดไฟไหม้ขึ้นกับเครื่องเบาะรถท่าน ให้ดับไฟที่เบาะด้วยเครื่องดับเพลิงก่อน
แล้วจึงรีบดึงเบาะดังกล่าวออกมาจากรถของท่านเพราะบางทีไฟอาจยังคงคุกรุ่นอยู่ในส่วนที่ลึกของเบาะ
จากนั้นจึงเปิดเบาะออกแล้วฉีดสารเคมีดับเพลิงให้ทั่วถึงต่อไป
เคล็ดลับที่ 3
หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องดับเพลิงชนิด ABC เพื่อดับไฟในบริเวณที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์
และอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ ถ้าหากทำได้ในกรณีนี้อุปกรณ์ดับเพลิงชนิดที่เป็น ฮาลอน(Halon)
จะเหมาะสมที่สุดเนื่องจากหลักการทำงานของอุปกรณ์ดับเพลิงชนิดนี้ คือการเข้าไปไล่ออกซิเจน
ซึ่งเป็นตัวช่วยให้ติดไฟออกไปจนสามารถดับไฟได้ อุปกรณ์ดับเพลิงฮาลอนจะใช้งานได้อย่าง
มีประสิทธิภาพในบริเวณที่มีพื้นที่แคบและไม่มีการถ่ายเทอากาศ หากมีการถ่ายเทอากาศฮาลอน
ก็จะถูกลมพัดกระจายไปจนหมดและทำให้เปลวไฟลุกขึ้นมาได้อีก บริเวณใต้แผงหน้าปัดของรถ
จะใช้อุปกรณืดับชนิดนี้ได้ดี แต่ท่านต้องรีบถอดขั้วแบตเตอรี่ออกหลังจากไฟดับแล้วเพื่อป้องกัน
การเกิดลุกไหม้ขึ้นอีก แต่จากกรณีศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้คณะกรรมการฯได้สั่ง
ห้ามการผลิตอุปกรณ์ดับเพลิงชนิดนี้ แต่ก็ยังคงสามารถหาซื้ออุปกรณ์ส่วนที่เหลือได้จาก
General Fire Extinguisher Company of Northbrook, Illinois
ท่านสามารถโทรสอบถามตัวแทนอื่นๆได้ที่ 1-800-323-6452
แต่ยังทางเลือกอีกอย่างในการใช้งานอุปกรณ์ดับเพลิงทดแทนฮาลอนนั่นก็คือ
เครื่องดับเพลิงแบบเก่าซึ่งใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(CO2)เป็นตัวคับไฟนั่นเอง
เคล็ดลับที่ 4
ให้นำเครื่องดับเพลิงที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ท่านจะสามารถนำติดรถไปด้วยได้
เพื่อเพียงพอต่อการใช้งานกรณีที่เกิดเหตุขึ้นมา
เคล็ดลับที่ 5
เพลิงไหม้ที่บริเวณห้องเครื่องยนต์นั้น โดยปกติเกิดจากการแตกของท่อน้ำมันเชื้อเพลิงแล้ว
น้ำมันรั่วไปโดนเครื่องที่กำลังร้อนอยู่ให้ตรวจสอบท่อน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างสม่ำเสมอ
หากพบว่ามีการแตกร้าวก็ให้ทำการเปลี่ยนใหม่ให้เรียบร้อย ข้อนี้สำคัญเป็นอย่างยิ่งเนื่องจาก
มีการพบว่า MTBE ซึ่งเป็นสารเคมีที่เพิ่มเข้าไป(Additive)ในน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น
มีส่วนทำให้เกิดการผุกร่อนของท่อน้ำมันจนทำให้เกิดเพลิงไหม้ขึ้น
หากเกิดไฟไหม้ที่ห้องเครื่องยนต์ ให้ท่านดับเครื่องยนต์โดยทันทีเพื่อหยุดการทำงานของ
ปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงและการไหลเวียนของน้ำมันเชื้อเพลิง การดับไฟที่ห้องเครื่องให้ปลอดภัย
และได้ผลนั้นจะต้องใช้คนสองคนด้วยกัน โดยให้คนหนึ่งถืออุปกรณ์ดับเพลิงและเตรียมพร้อม
ในขณะที่อีกคนหนึ่งเปิดฝากระโปรงรถขึ้นมา ทันทีที่ฝากระโปรงเปิดขึ้นนั้นจะมีเปลวไฟลุกโชน
ขึ้นมาเนื่องจากมีอากาศบริสุทธิ์ด้านนอกเข้าไปสัมผัส ดังนั้นคนที่เตรียมพร้อมอยู่นั้นต้องฉีดเคมี
ดับเพลิงไปยังต้นกำเนิดของเพลิงโดยทันทีทันใดจนกระทั่งไฟดับ ที่สำคัญก็คือท่านต้องเปิดฝา
กระโปรงขึ้นมาโดยเร็ว ก่อนที่ไฟจะไหม้สายเคเบิลสำหรับเปิดฝากระโปรงเสียหายจนไม่สามารถ
ใช้การได้ หากเป็นเช่นนั้นแล้วก็จะไม่สามารถดับไฟที่ไหม้ได้เลย
ท่านไม่ต้องพยายามดับไฟโดยการพ่นสารเคมีดับเพลิงผ่านเข้าไปทางหม้อน้ำหรือซุ้มล้อ
เพราะมันจะไม่ได้ผลรวมทั้งเสียเวลาและสารเคมีดับเพลิงของท่านไปโดยเปล่าประโยชน์
การคับเพลิงชนิดนี้ให้ได้ผลต้องคับที่ต้นกำเนิดของเพลิงเท่านั้น
เคล็ดลับที่ 6
ถ้าท่านกำลังต่อสู้อยู่กับไฟที่กำลังไหม้รถนั้น ท่านจะต้องไม่เข้าไปอยู่ใน"เขตอันตราย
(zone of danger)"นั่นก็คือพื้นที่รูปกรวยเริ่มจากตำแหน่งของถังน้ำมัน
(โดยปกติจะถูกติดตั้งไว้ด้านท้ายของรถ)ไปยังด้านหลังของรถ เพราะถ้าหากถังน้ำมันเกิด
ระเบิดขึ้น มันจะส่งแรงระเบิดอันน่ากลัวซึ่งเป็นอันตรายถึงตายเลยทีเดียว ให้อยู่ออกมาจาก
ทางด้านหลังของรถเป็นระยะทาง 50 ถึง 100 ฟุต (15-30 เมตร)(เสริม-พื้นที่รูปกรวย
ให้ท่านนึกภาพเปลวไฟที่พุ่งออกมาจากปลายของจรวดขับดันยานอวกาศขณะส่งขึ้นจากฐาน)
เคล็ดลับที่ 7
ในแต่ละปี(ที่อเมริกา)จะมีรถประเภทอเนกประสงค์และกระบะบรรทุกจำนวนมากถูกไฟไหม้
เมื่อคนขับได้จอดรถทิ้งไว้ในบริเวณที่มีหญ้าสูงๆ เพื่อไปล่าสัตว์ ตกปลา หรือเดินเที่ยว
เนื่องจากอุปกรณ์เครื่องกรองมลพิษจากไอเสีย (catalytic converter)
ที่ยังร้อนอยู่ไปทำให้หญ้าเกิดติดไฟขึ้นมาและลุกลามไปทั้งทุ่งหญ้าหรือกลายเป็นไฟป่า
ซึ่งมันจะเผาผลาญทุกอย่างที่อยู่รอบๆบริเวณนั้น ดังนั้นเพื่อเห็นแก่รถของท่านและสิ่งแวดล้อม
อย่าจอดรถใกล้กับสิ่งใดๆก็แล้วแต่ที่เครื่องกรองมลพิษจากไอเสีย
(catalytic converter) หรือ ท่อไอเสียของรถจะสามารถทำให้เกิดการลุกไหม้ได้
เคล็ดลับที่ 8
ถ้าหากท่านใช้ "motorhome" หรือลาก "camper-trailer"
(รถที่ออกแบบให้มีบริเวณคล้ายห้องนอนด้านหลังคนขับ คนอเมริกันใช้เป็นบ้านหรือที่พักค้างแรม)
ก็ต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นสองเท่า เพราะรถประเภทนี้มีการติดตั้งถังแก๊สหุงต้ม
เพื่อใช้ในการประกอบอาหารด้วย ซึ่งจะเป็นแหล่งเชื้อเพลิงอีกอย่างหนึ่งของการเกิดไฟไหม้หรือ
การระเบิด รถประเถทนี้มีแนวโน้มการเกิดเพลิงไหม้อันเนื่องมาจากไฟฟ้าลัดวงจรด้วย เนื่องจาก
ความซับซ้อนของระบบสายไฟในรถ
ดังนั้น ต้องแน่ใจว่ารถของท่านได้ติดตั้งเครื่องตรวจจับควันหรือแก๊สรั่วไว้แล้วด้วย.
เคล็ดลับที่ 9
บางครั้งท่านเองก็สามารถทำให้เกิดเพลิงไหม้รถได้หรือเกิดการบาดเจ็บหรือถึงแก่ชีวิตของตัว
ท่านเอง หากท่านทำการเติมน้ำมันจากภาชนะบรรจุซึ่งเกิดมีไฟฟ้าสถิตย์อยู่ ประกายไฟจะ
กระโดดจากภาชนะบรรจุน้ำมันไปยังตัวถังของรถและไปจุดระเบิดไอระเหยของน้ำมันขึ้นได้
ดูเหมือนว่าไฟฟ้าสถิตย์จะเกิดขึ้นกับภาชนะบรรจุที่บรรทุกไว้ในรถกระบะที่มีการติดตั้งพื้นปูกระบะ
พลาสติก หรืออันที่บรรทุกไว้บนหลังคาของรถ เนื่องจากการขับรถด้วยความเร็วบนทางหลวงนั้น
จะทำให้อากาศเกิดการเสียดสีกับผิวของภาชนะบรรจุจนมีการเก็บประจุเกิดขึ้น
ก่อนที่จะเทน้ำมันออกมานั้นท่านต้องมั่นใจว่าได้ล้างไฟฟ้าสถิตย์ด้วยการลงกราวด์ภาชนะบรรจุก่อน
แล้วทุกครั้งเพื่อป้องกันการเกิดเหตุดังกล่าวข้างต้น และจำไว้ด้วยว่าภาชนะบรรจุน้ำมันที่ใกล้หมด
สามารถเป็นอันตรายได้มากกว่าอันที่ยังเต็มอยู่ เพราะไอระเหยของน้ำมันด้านในจะเกิดการระเบิด
ได้ง่ายกว่าที่น้ำมันที่ยังมีสภาพเป็นของเหลว.
โดยปกติแล้วเพลิงไหม้จะเริ่มต้นจาก 3 จุดของตัวรถคือ
1. ห้องเครื่อง สาเหตุเนื่องจากการรั่วของน้ำมันเชื้อเพลิงหรืดน้ำมันหล่อลื่น
2. ใต้แผงหน้าปัด สาเหตุเนื่องจากการลัดวงจรของระบบไฟฟ้า
3. ที่เบาะหลัง สาเหตุเนื่องจากการทิ้งก้นบุหรี่ออกไปนอกรถแต่กลับปลิวไปตกที่บริเวณเบาะหลังโดยไม่รู้ตัว
เคล็ดลับที่ 2
โดยทั่วไปจะมีถังดับเพลิงอยู่หลากหลายชนิดด้วยกัน แต่ที่ท่านควรจะมีติดรถไว้ก็คือ
ถังดับเพลิงชนิด ABC ซึ่งสามารถใช้งานได้หลากหลายอเนกประสงค์กล่าวคือ
ชนิด A มีคุณสมบัติในการดับเพลิงที่เกิดจากเชื้อเพลิงทั่วไปเช่น ไม้ กระดาษ
หรือเครื่องเบาะของรถ
ชนิด B มีคุณสมบัติในการดับเพลิงที่เกิดจากของเหลวไวไฟเช่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเชื้อเพลิง
ชนิด C มคุณสมบัติในการดับเพลิงที่เกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร
ข้อเสียของถังดับเพลิงชนิด ABC ก็คือผงแป้งละเอียดที่ตกค้างหลังจากการใช้งาน
จะกัดกร่อนจุดเชื่อมต่อต่างๆของระบบไฟฟ้าและทำความเสียหายกับสมองกลหรือ
ระบบเกียร์อิเลคทรอนิค ดังนั้นท่านต้องทำความสะอาดอย่างทั่วถึงหลังการใช้งาน
ในการดับไฟนั้น ให้ท่านฉีดผงเคมีไปยังฐาน(ต้นกำเนิด)ของเพลิงที่กำลังลุกไหม้อยู่นั้น
และกวาดหัวฉีดกลับไปมาอย่างสม่ำเสมอจนกระทั่งไฟดับลง
อย่าพ่นสารเคมีไปยังเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้อยู่ในอากาศ เพราะนั่นนอกจากจะดับไฟไม่ได้แล้ว
ก็ยังทำให้สิ้นเปลืองส่วนประกอบอันมีค่าของเครื่องคับเพลิงไปโดยเปล่าประโยชน์
ถ้าหากเกิดไฟไหม้ขึ้นกับเครื่องเบาะรถท่าน ให้ดับไฟที่เบาะด้วยเครื่องดับเพลิงก่อน
แล้วจึงรีบดึงเบาะดังกล่าวออกมาจากรถของท่านเพราะบางทีไฟอาจยังคงคุกรุ่นอยู่ในส่วนที่ลึกของเบาะ
จากนั้นจึงเปิดเบาะออกแล้วฉีดสารเคมีดับเพลิงให้ทั่วถึงต่อไป
เคล็ดลับที่ 3
หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องดับเพลิงชนิด ABC เพื่อดับไฟในบริเวณที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์
และอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ ถ้าหากทำได้ในกรณีนี้อุปกรณ์ดับเพลิงชนิดที่เป็น ฮาลอน(Halon)
จะเหมาะสมที่สุดเนื่องจากหลักการทำงานของอุปกรณ์ดับเพลิงชนิดนี้ คือการเข้าไปไล่ออกซิเจน
ซึ่งเป็นตัวช่วยให้ติดไฟออกไปจนสามารถดับไฟได้ อุปกรณ์ดับเพลิงฮาลอนจะใช้งานได้อย่าง
มีประสิทธิภาพในบริเวณที่มีพื้นที่แคบและไม่มีการถ่ายเทอากาศ หากมีการถ่ายเทอากาศฮาลอน
ก็จะถูกลมพัดกระจายไปจนหมดและทำให้เปลวไฟลุกขึ้นมาได้อีก บริเวณใต้แผงหน้าปัดของรถ
จะใช้อุปกรณืดับชนิดนี้ได้ดี แต่ท่านต้องรีบถอดขั้วแบตเตอรี่ออกหลังจากไฟดับแล้วเพื่อป้องกัน
การเกิดลุกไหม้ขึ้นอีก แต่จากกรณีศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้คณะกรรมการฯได้สั่ง
ห้ามการผลิตอุปกรณ์ดับเพลิงชนิดนี้ แต่ก็ยังคงสามารถหาซื้ออุปกรณ์ส่วนที่เหลือได้จาก
General Fire Extinguisher Company of Northbrook, Illinois
ท่านสามารถโทรสอบถามตัวแทนอื่นๆได้ที่ 1-800-323-6452
แต่ยังทางเลือกอีกอย่างในการใช้งานอุปกรณ์ดับเพลิงทดแทนฮาลอนนั่นก็คือ
เครื่องดับเพลิงแบบเก่าซึ่งใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(CO2)เป็นตัวคับไฟนั่นเอง
เคล็ดลับที่ 4
ให้นำเครื่องดับเพลิงที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ท่านจะสามารถนำติดรถไปด้วยได้
เพื่อเพียงพอต่อการใช้งานกรณีที่เกิดเหตุขึ้นมา
เคล็ดลับที่ 5
เพลิงไหม้ที่บริเวณห้องเครื่องยนต์นั้น โดยปกติเกิดจากการแตกของท่อน้ำมันเชื้อเพลิงแล้ว
น้ำมันรั่วไปโดนเครื่องที่กำลังร้อนอยู่ให้ตรวจสอบท่อน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างสม่ำเสมอ
หากพบว่ามีการแตกร้าวก็ให้ทำการเปลี่ยนใหม่ให้เรียบร้อย ข้อนี้สำคัญเป็นอย่างยิ่งเนื่องจาก
มีการพบว่า MTBE ซึ่งเป็นสารเคมีที่เพิ่มเข้าไป(Additive)ในน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น
มีส่วนทำให้เกิดการผุกร่อนของท่อน้ำมันจนทำให้เกิดเพลิงไหม้ขึ้น
หากเกิดไฟไหม้ที่ห้องเครื่องยนต์ ให้ท่านดับเครื่องยนต์โดยทันทีเพื่อหยุดการทำงานของ
ปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงและการไหลเวียนของน้ำมันเชื้อเพลิง การดับไฟที่ห้องเครื่องให้ปลอดภัย
และได้ผลนั้นจะต้องใช้คนสองคนด้วยกัน โดยให้คนหนึ่งถืออุปกรณ์ดับเพลิงและเตรียมพร้อม
ในขณะที่อีกคนหนึ่งเปิดฝากระโปรงรถขึ้นมา ทันทีที่ฝากระโปรงเปิดขึ้นนั้นจะมีเปลวไฟลุกโชน
ขึ้นมาเนื่องจากมีอากาศบริสุทธิ์ด้านนอกเข้าไปสัมผัส ดังนั้นคนที่เตรียมพร้อมอยู่นั้นต้องฉีดเคมี
ดับเพลิงไปยังต้นกำเนิดของเพลิงโดยทันทีทันใดจนกระทั่งไฟดับ ที่สำคัญก็คือท่านต้องเปิดฝา
กระโปรงขึ้นมาโดยเร็ว ก่อนที่ไฟจะไหม้สายเคเบิลสำหรับเปิดฝากระโปรงเสียหายจนไม่สามารถ
ใช้การได้ หากเป็นเช่นนั้นแล้วก็จะไม่สามารถดับไฟที่ไหม้ได้เลย
ท่านไม่ต้องพยายามดับไฟโดยการพ่นสารเคมีดับเพลิงผ่านเข้าไปทางหม้อน้ำหรือซุ้มล้อ
เพราะมันจะไม่ได้ผลรวมทั้งเสียเวลาและสารเคมีดับเพลิงของท่านไปโดยเปล่าประโยชน์
การคับเพลิงชนิดนี้ให้ได้ผลต้องคับที่ต้นกำเนิดของเพลิงเท่านั้น
เคล็ดลับที่ 6
ถ้าท่านกำลังต่อสู้อยู่กับไฟที่กำลังไหม้รถนั้น ท่านจะต้องไม่เข้าไปอยู่ใน"เขตอันตราย
(zone of danger)"นั่นก็คือพื้นที่รูปกรวยเริ่มจากตำแหน่งของถังน้ำมัน
(โดยปกติจะถูกติดตั้งไว้ด้านท้ายของรถ)ไปยังด้านหลังของรถ เพราะถ้าหากถังน้ำมันเกิด
ระเบิดขึ้น มันจะส่งแรงระเบิดอันน่ากลัวซึ่งเป็นอันตรายถึงตายเลยทีเดียว ให้อยู่ออกมาจาก
ทางด้านหลังของรถเป็นระยะทาง 50 ถึง 100 ฟุต (15-30 เมตร)(เสริม-พื้นที่รูปกรวย
ให้ท่านนึกภาพเปลวไฟที่พุ่งออกมาจากปลายของจรวดขับดันยานอวกาศขณะส่งขึ้นจากฐาน)
เคล็ดลับที่ 7
ในแต่ละปี(ที่อเมริกา)จะมีรถประเภทอเนกประสงค์และกระบะบรรทุกจำนวนมากถูกไฟไหม้
เมื่อคนขับได้จอดรถทิ้งไว้ในบริเวณที่มีหญ้าสูงๆ เพื่อไปล่าสัตว์ ตกปลา หรือเดินเที่ยว
เนื่องจากอุปกรณ์เครื่องกรองมลพิษจากไอเสีย (catalytic converter)
ที่ยังร้อนอยู่ไปทำให้หญ้าเกิดติดไฟขึ้นมาและลุกลามไปทั้งทุ่งหญ้าหรือกลายเป็นไฟป่า
ซึ่งมันจะเผาผลาญทุกอย่างที่อยู่รอบๆบริเวณนั้น ดังนั้นเพื่อเห็นแก่รถของท่านและสิ่งแวดล้อม
อย่าจอดรถใกล้กับสิ่งใดๆก็แล้วแต่ที่เครื่องกรองมลพิษจากไอเสีย
(catalytic converter) หรือ ท่อไอเสียของรถจะสามารถทำให้เกิดการลุกไหม้ได้
เคล็ดลับที่ 8
ถ้าหากท่านใช้ "motorhome" หรือลาก "camper-trailer"
(รถที่ออกแบบให้มีบริเวณคล้ายห้องนอนด้านหลังคนขับ คนอเมริกันใช้เป็นบ้านหรือที่พักค้างแรม)
ก็ต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นสองเท่า เพราะรถประเภทนี้มีการติดตั้งถังแก๊สหุงต้ม
เพื่อใช้ในการประกอบอาหารด้วย ซึ่งจะเป็นแหล่งเชื้อเพลิงอีกอย่างหนึ่งของการเกิดไฟไหม้หรือ
การระเบิด รถประเถทนี้มีแนวโน้มการเกิดเพลิงไหม้อันเนื่องมาจากไฟฟ้าลัดวงจรด้วย เนื่องจาก
ความซับซ้อนของระบบสายไฟในรถ
ดังนั้น ต้องแน่ใจว่ารถของท่านได้ติดตั้งเครื่องตรวจจับควันหรือแก๊สรั่วไว้แล้วด้วย.
เคล็ดลับที่ 9
บางครั้งท่านเองก็สามารถทำให้เกิดเพลิงไหม้รถได้หรือเกิดการบาดเจ็บหรือถึงแก่ชีวิตของตัว
ท่านเอง หากท่านทำการเติมน้ำมันจากภาชนะบรรจุซึ่งเกิดมีไฟฟ้าสถิตย์อยู่ ประกายไฟจะ
กระโดดจากภาชนะบรรจุน้ำมันไปยังตัวถังของรถและไปจุดระเบิดไอระเหยของน้ำมันขึ้นได้
ดูเหมือนว่าไฟฟ้าสถิตย์จะเกิดขึ้นกับภาชนะบรรจุที่บรรทุกไว้ในรถกระบะที่มีการติดตั้งพื้นปูกระบะ
พลาสติก หรืออันที่บรรทุกไว้บนหลังคาของรถ เนื่องจากการขับรถด้วยความเร็วบนทางหลวงนั้น
จะทำให้อากาศเกิดการเสียดสีกับผิวของภาชนะบรรจุจนมีการเก็บประจุเกิดขึ้น
ก่อนที่จะเทน้ำมันออกมานั้นท่านต้องมั่นใจว่าได้ล้างไฟฟ้าสถิตย์ด้วยการลงกราวด์ภาชนะบรรจุก่อน
แล้วทุกครั้งเพื่อป้องกันการเกิดเหตุดังกล่าวข้างต้น และจำไว้ด้วยว่าภาชนะบรรจุน้ำมันที่ใกล้หมด
สามารถเป็นอันตรายได้มากกว่าอันที่ยังเต็มอยู่ เพราะไอระเหยของน้ำมันด้านในจะเกิดการระเบิด
ได้ง่ายกว่าที่น้ำมันที่ยังมีสภาพเป็นของเหลว.
Monday, May 10, 2010
7 วิธีขับรถประหยัดรับหน้าฝน
ใครที่มีความจำเป็นต้องเดินทางใช้รถใช้ถนนในช่วงฝนตกนี้ อาจจะต้องทำใจกันหน่อย หากรถจะติดมากกว่าเดิม
เพราะฝนที่ตั้งใจเทกระหน่ำลง มาติดๆกันหลายวัน ชนิดที่ทำเอาข้าวของ แผ่นป้ายโฆษณาได้รับความเสียหาย
หลายๆแห่ง นอกจากเสียเวลาแล้ว ยังทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้นตามไปด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงนี้ราคาน้ำมันยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทำให้ประชาชนผู้ขับขี่รถยนต์ ต้องแบกรับภาระจากผลกระทบของราคาน้ำมันที่มาเร็วกว่าทุกครั้ง
วันนี้เรามี "7 วิธีที่ประหยัดน้ำมันต้อนรับฤดูฝน"
1. หลีกเลี่ยงการเดินทางในช่วงเวลาหลังฝนตกใหม่ๆ
โดยหันมาใช้การติดต่อกันทางโทรศัพท์ อีเมล์ หรือหันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะ เช่น รถไฟฟ้า BTS
รถไฟฟ้าใต้ดินแทนก็จะสะดวกและประหยัดน้ำมัน ทั้งยังช่วยลดปัญหาการจราจร ที่ติดขัด
เพราะหากผู้ใช้รถยนต์จำนวนร้อยละ 1 จากจำนวน รถทั้งหมด 8 ล้านคัน หันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะ
จะช่วยประหยัดน้ำมันได้ปีละ 83 ล้านลิตร หรือคิดเป็นเงินประมาณ 2,500 ล้านบาท
(ราคาน้ำมัน 30 บาท ต่อลิตร)
2. ตรวจเช็คเครื่องยนต์ให้พร้อมก่อนเดินทาง
หากมีความจำเป็นต้องเดินทางช่วงฝนตก ควรตรวจเช็คเครื่องยนต์เป็นพิเศษ
เพราะหากรถดับหรือเสีย ขณะการเดินทางจะทำให้เสียเวลาและทำให้การจราจรติดขัดยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ สิ่งที่ควรได้รับการตรวจเช็คเป็นพิเศษคือ ระดับน้ำกลั่นแบตเตอรี่
เพราะ หากน้ำแห้งแบตเตอรี่จะไม่สามารถทำงานได้ โดยผลที่ได้รับคือรถสตาร์ทไม่ติด
3. ตรวจเช็คเส้นทางให้พร้อมก่อนเดินทาง
โดยเลือกเส้นทางการจราจร ที่ใกล้ที่สุดหรือตรวจสอบเส้นทางได้จากรายการวิทยุ สวพ.91 จส.100
หรือโทร.1197 เพื่อให้ไปถึงจุดหมายโดยใช้ระยะทางที่ใกล้ไม่หลงทาง ช่วยทำให้ประหยัดน้ำมัน
และควรเตรียมหมายเลขโทรศัพท์ของหน่วยงานบริการ ช่วยเหลือ กรณีรถเสียระหว่างทาง
เช่น สถานีวิทยุชุมชน ร่วมด้วยช่วยกัน 1167
4. ตรวจเช็คลมยางและสภาพยางให้ได้มาตรฐาน
โดยตรวจเช็คลมยางอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพราะหากลมยางต่ำกว่ามาตรฐาน จะทำให้การขับขี่สิ้นเปลือง
น้ำมันประมาณร้อยละ 2 และหากสภาพยางไม่ได้มาตรฐานจะทำให้ประสิทธิภาพในการเบรคลดลง
ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน
5. ตรวจเช็คผ้าเบรค
เพราะช่วงหน้าฝนถนนลื่นกว่าปกติ ทำให้ต้องแตะเบรคบ่อยครั้ง โดยผู้ขับขี่ควรสังเกตจากเสียงขณะเบรค
หรือเบรคแล้วรถไม่หยุดในระยะปกติ ซึ่งทำให้เปลืองน้ำมันประมาณวันละ 400 ซีซี
ฉะนั้นผู้ขับขี่ควรเปลี่ยนผ้าเบรคใหม่เพื่อช่วยประหยัดน้ำมัน
6. ตรวจเช็คความเร็ว
หากใช้ความเร็วสูงเกิน 90 กิโลเมตร/ชั่วโมงในขณะขับรถจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันประมาณร้อยละ 10-25
ดังนั้นควร ขับรถความเร็วที่ระดับ 80-90 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพื่อลดอุบัติเหตุและช่วยประหยัดน้ำมัน
7. ตรวจเช็คความเย็น
ลดอุณหภูมิโดยไม่ปรับแอร์ในรถให้เย็นเกินไป เพราะหน้าฝนอากาศเย็น
และควรปิดแอร์ก่อนถึงที่หมาย 2-3 นาที ซึ่งจะช่วย ประหยัดน้ำมันได้ 30 ซีซี
แต่หากไม่ใช้แอร์เลยตลอดการเดินทาง 20-30 นาที จะประหยัดน้ำมันได้ 300 ซีซี
การตรวจเช็ครถยนต์อย่างสม่ำเสมอเป็นการช่วยประหยัดน้ำมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนั้นหากปฏิบัติได้ครบทั้ง 7 วิธี จะช่วยผู้ใช้ ้รถยนต์ประหยัดน้ำมัน ประหยัดเงิน และขับขี่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
เพราะฝนที่ตั้งใจเทกระหน่ำลง มาติดๆกันหลายวัน ชนิดที่ทำเอาข้าวของ แผ่นป้ายโฆษณาได้รับความเสียหาย
หลายๆแห่ง นอกจากเสียเวลาแล้ว ยังทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้นตามไปด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงนี้ราคาน้ำมันยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทำให้ประชาชนผู้ขับขี่รถยนต์ ต้องแบกรับภาระจากผลกระทบของราคาน้ำมันที่มาเร็วกว่าทุกครั้ง
วันนี้เรามี "7 วิธีที่ประหยัดน้ำมันต้อนรับฤดูฝน"
1. หลีกเลี่ยงการเดินทางในช่วงเวลาหลังฝนตกใหม่ๆ
โดยหันมาใช้การติดต่อกันทางโทรศัพท์ อีเมล์ หรือหันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะ เช่น รถไฟฟ้า BTS
รถไฟฟ้าใต้ดินแทนก็จะสะดวกและประหยัดน้ำมัน ทั้งยังช่วยลดปัญหาการจราจร ที่ติดขัด
เพราะหากผู้ใช้รถยนต์จำนวนร้อยละ 1 จากจำนวน รถทั้งหมด 8 ล้านคัน หันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะ
จะช่วยประหยัดน้ำมันได้ปีละ 83 ล้านลิตร หรือคิดเป็นเงินประมาณ 2,500 ล้านบาท
(ราคาน้ำมัน 30 บาท ต่อลิตร)
2. ตรวจเช็คเครื่องยนต์ให้พร้อมก่อนเดินทาง
หากมีความจำเป็นต้องเดินทางช่วงฝนตก ควรตรวจเช็คเครื่องยนต์เป็นพิเศษ
เพราะหากรถดับหรือเสีย ขณะการเดินทางจะทำให้เสียเวลาและทำให้การจราจรติดขัดยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ สิ่งที่ควรได้รับการตรวจเช็คเป็นพิเศษคือ ระดับน้ำกลั่นแบตเตอรี่
เพราะ หากน้ำแห้งแบตเตอรี่จะไม่สามารถทำงานได้ โดยผลที่ได้รับคือรถสตาร์ทไม่ติด
3. ตรวจเช็คเส้นทางให้พร้อมก่อนเดินทาง
โดยเลือกเส้นทางการจราจร ที่ใกล้ที่สุดหรือตรวจสอบเส้นทางได้จากรายการวิทยุ สวพ.91 จส.100
หรือโทร.1197 เพื่อให้ไปถึงจุดหมายโดยใช้ระยะทางที่ใกล้ไม่หลงทาง ช่วยทำให้ประหยัดน้ำมัน
และควรเตรียมหมายเลขโทรศัพท์ของหน่วยงานบริการ ช่วยเหลือ กรณีรถเสียระหว่างทาง
เช่น สถานีวิทยุชุมชน ร่วมด้วยช่วยกัน 1167
4. ตรวจเช็คลมยางและสภาพยางให้ได้มาตรฐาน
โดยตรวจเช็คลมยางอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพราะหากลมยางต่ำกว่ามาตรฐาน จะทำให้การขับขี่สิ้นเปลือง
น้ำมันประมาณร้อยละ 2 และหากสภาพยางไม่ได้มาตรฐานจะทำให้ประสิทธิภาพในการเบรคลดลง
ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน
5. ตรวจเช็คผ้าเบรค
เพราะช่วงหน้าฝนถนนลื่นกว่าปกติ ทำให้ต้องแตะเบรคบ่อยครั้ง โดยผู้ขับขี่ควรสังเกตจากเสียงขณะเบรค
หรือเบรคแล้วรถไม่หยุดในระยะปกติ ซึ่งทำให้เปลืองน้ำมันประมาณวันละ 400 ซีซี
ฉะนั้นผู้ขับขี่ควรเปลี่ยนผ้าเบรคใหม่เพื่อช่วยประหยัดน้ำมัน
6. ตรวจเช็คความเร็ว
หากใช้ความเร็วสูงเกิน 90 กิโลเมตร/ชั่วโมงในขณะขับรถจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันประมาณร้อยละ 10-25
ดังนั้นควร ขับรถความเร็วที่ระดับ 80-90 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพื่อลดอุบัติเหตุและช่วยประหยัดน้ำมัน
7. ตรวจเช็คความเย็น
ลดอุณหภูมิโดยไม่ปรับแอร์ในรถให้เย็นเกินไป เพราะหน้าฝนอากาศเย็น
และควรปิดแอร์ก่อนถึงที่หมาย 2-3 นาที ซึ่งจะช่วย ประหยัดน้ำมันได้ 30 ซีซี
แต่หากไม่ใช้แอร์เลยตลอดการเดินทาง 20-30 นาที จะประหยัดน้ำมันได้ 300 ซีซี
การตรวจเช็ครถยนต์อย่างสม่ำเสมอเป็นการช่วยประหยัดน้ำมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนั้นหากปฏิบัติได้ครบทั้ง 7 วิธี จะช่วยผู้ใช้ ้รถยนต์ประหยัดน้ำมัน ประหยัดเงิน และขับขี่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
Subscribe to:
Posts (Atom)